โยนิโสมนสิการกับหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับฉันทะ
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดฉันทะทางบวก หรือกุศลธรรมฉันทะ ก็คือ
โยนิโสมนสิการ จัดว่าเป็นองค์ประกอบฝ่ายใน เพราะมาจากปัจจัยภายในตัวบุคคล
เป็นแนวคิดที่ใช้ประโยชน์ได้ในทุกเรื่องโดยเฉพาะการดำเนินชีวิตประจำวัน
การทำงาน การเรียน เป็นต้น คนที่มีโยนิโสมนสิการจะช่วยตัวเองได้
มีการคิดอย่างถูกวิธี คิดอย่างมีระเบียบ ไม่มองสิ่งต่าง ๆ
อย่างผิวเผินรู้จักมอง
ทำให้สามารถมองเห็นด้านที่เป็นประโยชน์มาใช้ในการส่งเสริมความเจริญงอกงาม
ให้กับตนเอง ผู้อื่นและสังคม ได้มากกว่า (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต), 2533, หน้า 144)
โยนิโสมนสิการ จากการแปลรูปศัพท์แล้ว หมายถึง
การกระทำในใจโดยแยบคายเมื่อขยายความแล้ว หมายถึง การใช้ความคิดอย่างถูกวิธี
เป็นการรู้จักมอง รู้จักพิจารณาสิ่งต่างโดยมองตามที่สิ่งนั้น ๆ
ตรงความเป็นจริง
และโดยวิธีคิดหาเหตุผลสืบค้นถึงต้นเค้าสืบสาวตลอดสายแยกแยะสิ่งนั้น ๆ
หรือปัญหานั้น ๆ ออกให้เห็นตามสภาวะและตามความสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัย
โดยไม่เอาความรู้สึกด้านตัณหาเข้าจับ (พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต), 2538, หน้า 621)
หรือสามารถสรุปได้ว่า คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดมีเหตุผลคิดเร้ากุศล
หน้าที่ของโยนิโสมนสิการ ก็คือ
ความคิดที่สกัดอวิชชาตัณหาหรือการคิดเพื่อสกัดไม่ให้อวิชชาและตัณหาเกิด
โดยธรรมชาติของปุถุชนทั่วไป
เมื่อรับรู้สิ่งใดก็เกิดคิดว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจทันที
โยนิโสมนสิการจะทำหน้าที่ไม่ให้เกิดขั้นตอนนี้ แต่จะพิจารณา
ตามสภาวะตามเหตุปัจจัย เป็นตัวนำกระบวนความคิดบริสุทธิ์
คิดอย่างเป็นลำดับ ทำให้เข้าใจความจริง ทำให้เกิดกุศลธรรม วางใจวางท่าที
และปฏิบัติต่อสิ่งนั้น ๆ ได้เหมาะสมดีที่สุด
โยนิโสมนสิการทำให้คนเป็นผู้ใช้ความคิด
นำความคิดนั้นมาแก้ไขปัญหาทำให้เกิดความสุข (พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต),
2542ข, หน้า 29) ดังนั้น คนที่มีโยนิโสมนสิการจะทำให้ทำสิ่งต่าง ๆ
อย่างถูกต้องเหมาะสม และโยนิโสมนสิการ
กระทำให้ฉันทะที่เกิดขึ้นเป็นฉันทะฝ่ายบวก หรือกุศลธรรมฉันทะ
มีความรักในงานที่ทำ เมื่อรับรู้สิ่งใดก็คิดพิจารณา
ตามเหตุปัจจัย มีความพอใจในผลที่มาจากกระทำที่ถูกต้อง มีความใฝ่รู้ใฝ่ดี
ทำให้เป็นบุคคลที่พึ่งตนเองและนำตนเองได้ หรือสามารถที่จะพัฒนาเองได้ต่อไป
แนวความคิดเรื่องโยนิโสมนสิการ มีวิธีการคิดแบบโยนิโสมนสิการ มี 10 วิธี ดังนี้ (พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต), 2542ข, หน้า 30-37)
1. วิธีคิดแบบสืบสาวปัจจัย คือ
การพิจารณาปรากฏการณ์ที่เป็นผลให้รู้จักสภาวะที่เป็นจริง หรือพิจารณาปัญหา
หาหนทางแก้ไขด้วยการค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่าง ๆ
ที่สัมพันธ์ส่งผลสืบทอดกันมาโดยแนวปฏิบัติ ดังนี้ การคิดแบบปัจจัยสัมพันธ์
คือ สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดขึ้น
การคิดแบบสอบสวนหรือตั้งคำถามถึงสาเหตุของสิ่งต่าง ๆ
2.
วิธีคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบ เป็นการคิดที่มุ่งให้มองและให้รู้จักสิ่งต่าง ๆ
ทั้งหลายตามสภาวะของมันเอง เช่น พิจารณาบุคคลว่า มีองค์ประกอบที่เรียนว่า
ขันธ์ 5 ที่เกิดจากส่วนประกอบอื่น ๆ การคิดเช่นนี้
จะช่วยให้บุคคลเห็นความไม่เที่ยง ไม่คงที่
และไม่ยั่งยืนของสิ่งต่าง ๆ
3. วิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ
การมองอย่างรู้เท่าทันความเป็นไปของสิ่งทั้งหลายซึ่งจะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ
ตามธรรมของมันเอง และเป็นไปตามเหตุปัจจัย
อาการที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยปรุงแต่ง
โดยที่บุคคลยึดติดอนัตตา
4. วิธีคิดแบบแก้ปัญหา คือ
เรียกอีกอย่างว่า วิธีแห่งความดับทุกข์
เป็นวิธีที่สามารถขยายได้ครอบคลุมวิธีคิดแบบอื่น ๆ ทั้งหมด
วิธีคิดแบบแก้ปัญหามีลักษณะทั่วไป 2 ประการคือ
เป็นวิธีคิดตามเหตุและผลหรือเป็นไปตามเหตุและผล
สืบสาวจากผลไปหาสาเหตุแล้วแก้ไข และทำการที่ต้นเหตุกับเป็นวิธีคิดที่ตรงจุด
ตรงเรื่อง ตรงไปตรงมา มุ่งตรงต่อสิ่งที่จะต้องทำ ต้องปฏิบัติ
ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิต หลักการสำคัญของการคิดแบบแก้ปัญหา คือ
การเริ่มต้นจากปัญหาหรือความทุกข์ที่ประสบอยู่
โดยกำหนดรู้และทำความเข้าใจกับ
ปัญหานั้นให้ชัดเจน
แล้วสืบสาวค้นหาสาเหตุ
เพื่อเตรียมแก้ไขปัญหาในเวลาเดียวกันกำหนดเป้าหมายของตนให้แน่ชัด
ว่าคืออะไร จะเป็นไปได้หรือไม่
และจะเป็นอย่างไรแล้วคิดวางวิธีปฏิบัติที่จะกำจัดสาเหตุของปัญหา
โดยสอดคล้องกับการที่จะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
5.
วิธีคิดแบบสัมพันธ์ตามหลักการกับจุดมุ่งหมาย คือ
พิจารณาให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธรรมกับอรรถ หรือหลักการกับจุดมุ่งหมาย
เพื่อเมื่อลงมือปฏิบัติจะได้ทำตามหลักการและจุดมุ่งหมาย
โดยไม่ทำอย่างเลื่อนลอยหรืองมงาย
6.
วิธีคิดแบบเห็นคุณโทษและทางออก
หรือพิจารณาให้เห็นครบทั้งส่วนดีที่เป็นคุณค่า และส่วนเสียที่เป็นโทษ
แล้วภาวะที่ปราศจากปัญหา ซึ่งเป็นวิธีการมองสิ่งต่าง ๆ
ทั้งหลายตามความเป็นจริง และเน้นการยอมรับความจริงที่สิ่งนั้น ๆ
เป็นอยู่ทุกด้าน เป็นวิธีคิดที่ต่อเนื่อง
7.
วิธีคิดแบบเห็นคุณค่าแท้คุณค่าเทียม คือ การใช้สอยบริโภค
หรือวิธีคิดแบบสกัดหรือบรรเทาตัณหา
เป็นขั้นฝึกขัดเกลาหรือตัดทางไม่ให้กิเลสเข้ามาครอบงำจิตใจ วิธีคิดแบบนี้
ใช้มากในชีวิตประจำวัน เพราะเกี่ยวข้องกับการใช้ปัจจัย 4
และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ สิ่งใดที่สนองความต้องการของเรา
สิ่งนั้นย่อมมีคุณค่าแก่เรา คุณค่านี้จำแนกออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
7.1 คุณค่าแท้ หมายถึง คุณค่า
หรือประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์นำมาใช้แก้ปัญหาของตน เพื่อความดีงาม
ความดำรงอยู่ด้วยดีของชีวิต หรือเพื่อประโยชน์สุขทั้งของตนเองและผู้อื่น
คุณค่าอาศัยปัญญาเป็นเครื่องมือในการประเมินค่าความเป็นคุณค่าที่แท้
7.2 คุณค่าเทียมหรือคุณค่าเสริม หมายถึง
คุณค่าหรือประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์พอกเพิ่มให้แก่สิ่งนั้น ๆ
เพื่อสนองความต้องการของตนเอง
คุณค่าเทียมนี้อาศัยตัณหาเป็นเครื่องวัดความเป็นคุณค่าเทียม
8. วิธีคิดแบบเร้าคุณธรรม หรือวิธีคิดแบบเร้ากุศลหรือเร้าคุณธรรม
เป็นวิธีคิดในแนวสกัดหรือบรรเทาและขัดเกลาตัณหา เป็นข้อปฏิบัติระดับต้น ๆ
สำหรับการส่งเสริมความเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรม หลักการคิดของวิธีนี้ คือ
เมื่อประสบเหตุการณ์ใด ๆ หรือกับสิ่งใดก็ตามให้บุคคลคิด
และจงกระทำสิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์ขณะนั้น ๆ
เพราะจะช่วยให้เกิดการสร้างนิสัยความเคยชินใหม่ ๆ ที่ดีงามให้แก่จิตใจ
และลดความเคยชิน
ที่ร้าย ๆ ลงไป
9.
วิธีคิดแบบอยู่ในปัจจุบัน เป็นการมองอีกด้านหนึ่งของการคิดแบบอื่น ๆ
โดยมีลักษณะการคิด เป็นลักษณะความคิดชนิดที่ไม่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คือ
ความคิดที่เกาะติดกับอดีตและเลื่อนลอยไปในอนาคต หรือแนวความคิดของตัณหา
เพราะไม่พึงพอใจในสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่ จึงหนีไปอยู่กับอดีตหรืออนาคต
ส่วนความคิดที่เป็นปัจจุบัน คือคิดในแนวทางของความรู้
หรือความคิดด้วยอำนาจแห่งปัญญา คำว่า ปัจจุบันในทางธรรมหมายถึง
มีสติรู้เท่าทันสิ่งที่รับรู้เกี่ยวข้องหรือต้องทำอยู่ในเวลานั้น
ถ้าจิตรับรู้สิ่งใดแล้วเกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจ
ขึ้นอยู่กับสภาพของสิ่งนั้น ก็คือ การตกอยู่ในอดีตและหลุดจากปัจจุบันแล้ว
ฉะนั้น ปัจจุบันจึงมิได้มีความหมายตามที่คนทั่วไปเข้าใจ
10. วิธีคิดแบบแยกประเด็น วิธีคิดนี้ไม่ใช่วิธีคิดโดยตรง
แต่เป็นวิธีพูดหรือการแสดงหลักการแห่งคำสอนแบบหนึ่ง คือ
การมองและแสดงความจริงโดยแยกแยะออกให้แต่ละแง่แต่ละด้านแบบครบทุกแง่ทุกมุม
ไม่ใช่จับเอาแง่ใดแง่หนึ่งขึ้นมาวินิจฉัยตีความคลุมลงไป
หรือประเมินค่าความดีความชั่วโดยถือเอาส่วนเดียว
หรือบางส่วนเท่านั้นมาเป็นตัวตัดสิน
ดังนั้น
แนวคิดตามหลักธรรมโยนิโสมนสิการเป็นการใช้ความคิดอย่างถูกต้องตามวิธีการตาม
ความหมายต่าง ๆ ที่ได้นำเสนอในช่วงต้นและเมื่อมาเทียบในกระบวนการพัฒนาปัญญา
โยนิโสมนสิการจึงอยู่ในระดับที่เหนือกว่าวิธีการแห่งศรัทธาหรือปรโตโฆสะ
เพราะปรโตโฆสะนั้นเป็นขั้นที่เริ่มต้นใช้ความคิดของตนอย่างมีอิสระ
การกระทำให้เกิดฉันทะนั้น จะต้องอาศัยปัญญา ดังคำกล่าวที่ว่า
“ฉันทะจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อเริ่มมีการใช้สติปัญญา”
เนื่องจากความพอใจที่ไม่มีปัญญานั้นอาจจะนำไปสู่ความทุกข์หรือปัญหาอื่น ๆ
ได้ปัญญาเกิดขึ้นจากการใช้โยนิโสมนสิการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ
อย่างรอบครอบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (2542, หน้า 45)
ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทที่เกี่ยวกับความว่าศรัทธา
ปัญญาและฉันทะในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อวันที่
12 มีนาคม 2524 ไว้ว่า“....จะพูดถึงวิธีปฏิบัติงาน ข้อแรก
จะต้องสร้างศรัทธาให้เกิดมีขึ้นก่อน
เพราะศรัทธาหรือความเชื่อมั่นในประโยชน์ของงานนั้น
จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติ คือ ทำให้มีการปฏิบัติด้วยใจในทันที
แม้ก่อนที่จะลงมือทำ ดังนั้น ไม่ว่าจะทำการใด ๆ จึงต้องสร้างศรัทธาขึ้นก่อน
และการสร้างศรัทธานั้น
จึงจำเป็นต้องทำให้ถูกต้องด้วยศรัทธาที่พึงประสงค์จะต้องไม่เกิดจากความ
เชื่อง่าย ใจอ่อน และปราศจากเหตุหากจะต้องเกิดขึ้นจากความเพ่งพินิจพิจารณา
และใคร่ครวญแล้วด้วยความคิดจิตใจที่หนักแน่นสมบูรณ์ด้วยเหตุผล
จนถ่องแท้ถึงคุณค่าและประโยชน์อันแท้จริงในผลของปฏิบัติที่จะบังเกิดตามมา
ศรัทธาในลักษณะนี้ เมื่อบังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมน้อมนำมาซึ่งฉันทะ ความพอใจ
ความกระตือรือร้น ขวนขวาย
ตลอดจนความฉลาดและริเริ่มให้เกิดขึ้นเกื้อกูลกันอย่างพร้อมเพรียง
แล้วสนับสนุนส่งเสริมให้การปฏิบัติงานดำเนินความก้าวหน้าไปโดยราบรื่นจน
สัมฤทธิ์ผล”
เอกสิทธิ์ สนามทอง. ว่าที่ร้อยตรี. (2552). การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฉันทะทางการเรียนของนักศึกษาสถาบันอุดม ศึกษาเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต). (2533). พจนานุกรมศัพท์พุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
พระ ธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต). (2538). พุทธธรรม: ฉบับปรับปรุงและขยายความ (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต). (2542ข). วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม.
สืบค้นเมื่อ วันที่ 9 สิงหาคม 2554
ที่มา http://www.idis.ru.ac.th