ฉันทะกับการพัฒนาบุคคล ตามธรรมชาตินั้น
แรงจูงใจมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีมีฝ่ายอกุศลและฝ่ายกุศล หรือความอยากมี 2
ประเภท ก็คือ ความอยากที่เป็นตัณหา และความอยากที่เป็นฉันทะ
ซึ่งพร้อมที่จะนำออกมาใช้ได้พัฒนาบุคคลได้การกระทำที่ดีงามกิจกรรมทุกอย่าง
ที่เป็นไปได้เพื่อแก้ปัญหาของมนุษย์
ตลอดจนการบรรลุจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา จะต้องอาศัยแรงจูงใจฝ่ายดี
ที่เรียกว่า ฉันทะ ทำนองเดียวกับการทำความชั่ว
และกิจกรรมที่ก่อให้เกิดปัญหาสร้างความทุกข์
ย่อมถูกกระตุ้นเร้าด้วยตัณหาที่มีอวิชชาเป็นมูลฐาน
ดังกระบวนการพัฒนาฝึกอบรมสั่งสอนทุกอย่าง
ทั้งด้านการศึกษาหรือปฏิบัติธรรมต้องช่วยให้บุคคลปลุกฟื้นฉันทะขึ้นมาเป็น
พลังชักจูง การกระทำและนำชีวิตไปสู่จุดหมายที่ดีงาม
ซึ่งจะก่อประโยชน์สุขที่แท้จริงแก่ชีวิต และโลกที่แวดล้อมอยู่
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต) (2542ข, หน้า หน้า 527)
กล่าวว่า ฉันทะ
จึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่สามารถทำให้คนดีมีความทุกข์ได้
เพราะเป็นปุถุชนผู้ถูกครอบงำด้วยการถือมั่น
และอาจกระทำการที่รุนแรงเสียหายเกิดขึ้นได้
ถ้าเกิดทั้งความยึดมั่นและสติปัญญาที่ไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม
ฉันทะก็เป็นพลังอันสำคัญที่จะช่วยให้บุคคลได้เริ่มเข้าสู่กุศลธรรม
จึงจำเป็นที่ต้องปลุกฟื้นให้มีอย่างรู้เท่าทันส่วนโทษที่เกิดกับบุคคลนั้น
ยังสามารถเกิดขึ้นได้
แต่เรายังมีทางหลักเลี่ยงหรือหาทางแก้ไขได้หากมีฉันทะที่กำกับด้วยญญา
ปุถุชนในสังคมปัจจุบันนั้นมีจิตใจที่พร้อมจะไหลตามตัณหาโดยง่าย
การใช้พลังของฝ่ายลบมาหักห้าม เช่น บอกว่าอย่าทำผิดศีล
อย่าละเมิดระเบียบเป็นต้น ไม่เพียงพอเพราะการรักษาศีลนั้นหากขาดฉันทะ
ก็รักษาศีลแทบไม่ได้
ฉันทะที่เป็นพลังฝ่ายบวกซึ่งตรงกันข้ามกับตัณหาที่จะช่วยยับยั้ง ข่ม
และกำจัดตัณหาได้ผล
ฉันทะเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่ความสำเร็จในการแก้ปัญหาอันเกิดจากความชั่ว
ร้ายทั้งปวง แล้วช่วยก้าวหน้าไปสู่กุศลธรรมได้สำเร็จ
หากไม่สามารถสร้างฉันทะหรือความใฝ่ดีให้มาเป็นคู่แข่งกับตัณหาแล้ว
ย่อมยากที่พัฒนางานให้ดี ให้เป็นผลที่ดีได้ และจะแก้ไข
หรือขจัดปัญหาความชั่วร้ายในสังคมปัจจุบันได้ยากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น
ผู้ที่มีฉันทะมีกำลังมากกว่าตัณหาเป็นกุศลธรรมฉันทะย่อมข่มตัณหาในทางร้าย
ได้ เช่น ความริษยา ไม่สามารถเห็นคนอื่นได้ ทนอยู่ไม่ได้
ส่วนผู้ที่มีฉันทะฝ่ายดี
ถ้ายังไม่บรรลุความดีงามสูงสุดก็ทนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ (ที่จะไม่ทำให้ดี)
เช่น
นักศึกษาเพียงค้นคว้าหาคำตอบเพียงครึ่งเดียวก็พอที่จะสอบผ่านได้คะแนนดี
แต่กลับเพียรพยายามให้เข้าถึงความรู้ที่แท้จริง
หรือรวบรวมความรู้ให้ได้มากจนสุดกำลัง คนที่อยู่ในฐานะได้เปรียบ
ก็ไม่เอาเปรียบ
เพราะกลัวเสียธรรมมากกว่ากลัวเสียผลประโยชน์ซึ่งตรงกันข้ามกับตัณหา
ที่ยอมเสียธรรมดีกว่าเสียผลประโยชน์ เพราะฉะนั้น
ฉันทะจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของบุคคล
ช่วยให้บุคคลกระทำกิจต่าง ๆ ด้วยฉันทะมิใช่ตัณหา มุ่งเอาชนะงานมิใช่ชนะคน
ทำงานอย่างจริงจังยั่งยืนจนสำเร็จ
มิใช่ทำงานด้วยความตื่นเต้นแล้วละทิ้งรามือ
คนที่มีฉันทะสามารถคิดการทำการเพื่อผลดีงามระยะยาวมิใช่ทำงานสนุกสนาน
กล่าวได้ว่า คนที่มีฉันทะ เป็นคนที่ “ใฝ่รู้ สู่สิ่งที่ยาก”
ใคร่รู้ข้อบกพร่องของตน ยินดีรับฟังเพื่อเป็นเครื่องชี้ช่องทางปรับปรุงตน
และกิจของตนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นคนที่มีธรรมฉันทะจะใช้วิธีการที่ชอบธรรม
และฉลาดในวิธีการ ดังนั้นจึงต้องใช้สติปัญญา
ความสามารถเหนือกว่าปกติ
คนที่มีตัณหามีความมักง่ายในวิธีการของตนสำเร็จไม่ว่าวิธีการนั้นจะชั่วร้าย
ทุจริต ฉ้อโกง ไร้ธรรม ผู้มีธรรมฉันทะต้องพึงระวังทางที่ผิดพลาด 2 อย่าง
คือ
1. ปล่อยให้ตัณหาเข้ามาสวมรับหรือชิงบทบาทไปทำแทนฉันทะ
2. ขาดความรู้หรือไม่แสวงหาปัญญา อาจทำการผิดพลาดได้หากไม่รู้แน่ชัดว่าอะไรเป็นธรรม
ดัง
นั้น การพัฒนาฉันทะให้เกิดขึ้นในตัวบุคคล
พึงควรระมัดระวังไม่ให้ตัณหามีโอกาสเกิดขึ้น หรือเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ก็ควรรีบละหรือตัดตัณหาเสีย
ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญในการสกัดกั้นไม่ให้เกิดตัณหาได้
หรือทำให้เกิดฉันทะทางบวกก็คือ โยนิโสมนสิการ
เอกสิทธิ์ สนามทอง. ว่าที่ร้อยตรี. (2552). การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฉันทะทางการเรียนของนักศึกษาสถาบันอุดม ศึกษาเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต). (2542ข). วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม.
สืบค้นเมื่อ วันที่ 9 สิงหาคม 2554
ที่มา http://www.idis.ru.ac.th