แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับฉันทะ
ความหมายของหลักธรรมฉันทะ ฉันทะ
เป็นหลักธรรมทางเริ่มต้นแห่งความสำเร็จของอิทธิบาท 4
ซึ่งเป็นเหตุหรือเครื่องมือที่นำไปสู่ความสำเร็จ ประกอบด้วย ฉันทะ คือ
ความพอใจ วิริยะ คือ ความเพียร จิตตะ คือ ความคิดจดจ่อ และวิมังสา คือ
ความสอบสวนไตร่ตรอง ซึ่งสรุปให้จำง่าย ๆ ว่า ตามความหมายโดยภาพรวม คือ
“มีใจรัก พากเพียรเอาจิตฝักใฝ่”
(พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต), 2542ข, หน้า 842)
หากผู้ใดมีฉันทะก็กล่าวได้ว่า ทำงานสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง
เพราะฉันทะเป็นกำลังผลักดันให้บุคลากรทำงานต่อไปโดยง่าย สะดวก และสนุกสนาน
และฉันทะ คือ ความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่
ตนถือว่าดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ ข้อนี้
เป็นกำลังใจอันแรกที่ทำให้เกิดคุณธรรม ข้อต่อไป
ทุกข้อฉันทะจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเพื่อการพัฒนาตนหรือต้องการรู้ใน
สิ่งต่าง ๆ เพราะถ้ามีฉันทะอยากทำ อยากเรียนรู้ ก็เกิดการอยากศึกษา
เมื่อพบปัญหาก็พยายามอย่างไม่ท้อถอยจึงกล่าวได้ว่า
ฉันทะเป็นจิตสำนึกของการศึกษา
(พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต), 2541,หน้า 45-46) พระกวีวรญาณ (จำนง ทองประเสริฐ) (2502, หน้า 423)
กล่าวว่า ฉันทะ หมายถึง ความพอใจ ความสนใจ ความชอบใจ การศึกษาวิชาในแขนงใด
ๆ ก็ตาม ถ้าวิชานั้นเป็นที่ถูกใจ ชอบใจ และสนใจแล้ว
ก็จะศึกษาหรือกระทำให้สำเร็จด้วยดีโดยง่าย
ตรงกันข้ามถ้าถูกบังคับให้ศึกษาหรือถูกบังคับให้ทำงานใดก็ตาม
การศึกษาหรือการทำให้ได้ดีโดยยากหรือบางครั้งก็อาจจะไม่มีทางสำเร็จเลยก็ได้
ฉะนั้น
ความพอใจหรือความสนใจจึงเป็นหลักการเบื้องต้นที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จ
พระโสภณคณาจารย์ (ระแบบ จิตรวโณ) (2527, หน้า 58)
ได้ให้ความหมายของฉันทะ
ว่าเป็นความพอใจรักใคร่สิ่งที่กระทำให้บุคคลปลูกฝังความพอใจในการศึกษาเล่า
เรียนในหน้าที่การงานและอาชีพ ในการประพฤติปฏิบัติความดีทั้งหลาย
แม้ว่าไม่เคยมีความพอใจมาก่อนเมื่อใช้ปัญญาพินิจพิจารณาให้เห็นประโยชน์
เรื่องเหล่านั้นแล้วปลูกฝังความพอใจให้เกิดขึ้น บุคคลไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
มีความพอใจเป็นบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการที่กระทำ
พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) (2529, หน้า 842-844)
กล่าวว่า ฉันทะ หมายถึงความพอใจ ความมีใจรักในสิ่งที่ทำ
และพอใจใฝ่รักในจุดหมายของสิ่งที่ทำนั้น ๆ
ให้สำเร็จอยากให้งานนั้นหรือสิ่งนั้นบรรลุจุดมุ่งหมาย ความหมายในหลักธรรม
คือ ความรัก ความใส่ใจปรารถนาต่อความดีงามที่เต็มเปี่ยมสมบูรณ์
ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของสิ่งที่กระทำหรือจะเข้าถึงด้วยการกระทำนั้น
หรืออยากให้ภาวะดีงามเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ ของสิ่งนั้น ๆ
ของงานนั้นเกิดมีจริงขึ้น อยากทำให้สำเร็จผลตามจุดมุ่งหมายที่ดีงามนั้น
ความอยากที่จะเป็นฉันทะนี้เป็นคนละอย่างกับความอยากได้สิ่งนั้น ๆ
มาเสพเสวยหรืออยากเอามาเพื่อตัวตนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ตัณหา
ความอยากในฉันทะนั้นทำให้เกิดสุขอยากได้ผลตามกฎธรรมชาติ ความชื่นชม
เมื่อเห็นสิ่งนั้น งานนั้นบรรลุความสำเร็จเข้าถึงความสมบูรณ์
อยู่ในภาวะที่ดีงามหรือพูดแยกออกไปว่า
ขณะเมื่อสิ่งนั้นหรืองานนั้นกำลังเดินหน้าไปสู่จุดหมาย
ก็จะได้รับความโสมนัสเป็นความฉ่ำชื่นใจ ที่พร้อมด้วยความรู้สึกปลอดโล่ง
ผ่องใส่ เบิกบาน แผ่ออกไปไร้อิสระตนไว้ในความคับแคบ
และมักติดตามด้วยความหวงแหน ห่วงกังวล
เศร้าเสียดายและหวั่นกลัวหวาดระแวงโดยสรุปแล้ว จากความหมายต่าง ๆ
ของหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับฉันทะตั้งแต่ปีพ.ศ. 2502
จนกระทั่งถึงปีปัจจุบันนี้
ความหมายของฉันทะในมุมมองของนักวิชาการด้านพุทธศาสนาย้อนหลังไปไม่ต่ำกว่า
50 ปี
ก็ยังมีทิศทางของความหมายที่ไม่เปลี่ยนแปลงดังนั้นผู้วิจัยจึงขอสรุปได้ว่า
ฉันทะ คือ ความต้องการที่จะกระทำ
อยากเห็นสิ่งที่ดีงามที่ความชื่นชมที่เห็นงามสำเร็จตามเป้าหมาย
โดยมีความรักความใฝ่ใจปรารถนาต่อความดีงาม
ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของสิ่งที่กระทำหรือจะเข้าถึงด้วยการกระทำนั้นหรืออยาก
ให้ภาวะดีงามเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ของสิ่งนั้น ๆ ของงานนั้นเกิดมีจริงขึ้น
อยากทำให้สำเร็จผลตามจุดหมายที่ดีงามนั้น ฉันทะที่กล่าวมา คือฉันทะในทางบวก
ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นแรงจูงใจให้บุคคลกระทำสิ่งต่าง ๆ
ซึ่งควรสร้างเสริมและพัฒนาฉันทะให้เกิดขึ้นในนักศึกษาแรงจูงใจกับการมีฉันทะ
ในตนเอง การพัฒนาตนด้านแรงจูงใจ เป็นการพัฒนาผลักดันให้ตนกระทำการต่าง ๆ
อย่างมีความมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมาย
โดยผู้ที่มีแรงจูงใจในตนเองทางการเรียนรู้สูง
มักจะทุ่มเทพลังกายพลังใจใช้ความสามารถในการเรียนอย่างสุดกำลัง
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนด้านแรงจูงใจจึงมีประโยชน์
เพื่อการเข้าใจพฤติกรรมการเรียนของตน
ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาความหมายของแรงจูงใจ (motivation)
โดยมีนักจิตวิทยาได้อธิบายไว้หลายลักษณะ ดังนี้
Lahey (2001, p. 370) กล่าวว่า การจูงใจเป็นภาวะภายในที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมทั้งการคิด ความรู้สึก การกระทำเพื่อมุ่งให้บรรลุเป้าหมาย
Spector (2000, p. 176) กล่าวว่า เป็นภาวะภายในที่ผลักดันตัวบุคคลให้แสดงพฤติกรรมเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง
Luthans (1992, p. 147)
กล่าวว่า
คือความเต็มใจที่จะใช้พลังเพื่อดำเนินไปตามจุดหมายที่วางไว้ได้สำเร็จ
และมีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า
แรงจูงใจเป็นกระบวนการของการกระตุ้นให้เกิดการกระทำสนับสนุนความก้าวหน้าของ
กิจกรรมที่ทำ และกำหนดแบบแผนของกิจกรรมที่ทำ
โดยแสดงออกเป็นพฤติกรรมเพื่อให้พฤติกรรมนั้นไปสู่จุดมุ่งหมาย
ดังนั้น
แรงจูงใจที่มนุษย์ใช้เป็นแรงกระตุ้นหรือแรงขับอาจมาจากภายนอกหรือภายในตัว
บุคคลก็ได้
ซึ่งเป็นแรงขับให้ตนทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งจนประสบความสำเร็จจากความต้องการ
ของตนแรงจูงใจเมื่อเปรียบเทียบกับพุทธปรัชญาในการกระทำของมนุษย์
ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
(พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต), 2542ข, หน้า 490) 1. ความพอใจ ชอบใจ ยินดี รักใคร่ ที่ดีงาม สบาย เกื้อกูล เป็นกุศล เรียกว่า ฉันทะ
2. ความพอใจ ชอบใจ ยินดี รักใคร่ ที่ไม่ดี ไม่เกื้อกูล เป็นอกุศล เรียกว่า ตัณหามี 3 ประการ ได้แก่
2.1. กามตัณหา คือ ความกระหาย ความอยากได้อารมณ์ที่ชอบใจมาเสพปรนเปรอตน หรือความทะเยอทะยานอยากในกาม
2.2. ภวตัณหา คือ ความกระหายอยากในความถาวรมั่นคง มีคงอยู่ตลอดไป
2.3. วิภวตัณหา คือ ความกระหายอยากได้ในความดับดิ้นสิ้นขาดสูญแห่งตัวตนนอกจากความหมายดังกล่าวแล้ว
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต) (2542ข, หน้า 491-526)
ได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า โดยกระบวนการธรรมทางพระพุทธศาสนา
ตัณหาจะนำไปสู่การแสวงหา คือ การไปหา การไปเอา หรือรับเอา
หรือหาทางอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะให้ได้ในสิ่งที่ต้องการนั้น ๆ
มาเมื่อได้สิ่งนั้น ๆ
มาแล้วจะถือว่าจบไปช่วงหนึ่งฉันทะจึงเป็นความต้องการด้านกุศล คือ
ต้องการภาวะดีงาม ความรู้ ความเข้าใจในความจริงแท้
ถ้ามีฉันทะเด็กก็ย่อมต้องการความรู้จากหนังสือเล่มนั้น
โดยความรู้เป็นผลของการอ่านหนังสือ เมื่อเป็นเช่นนี้
ผลของการกระทำโดยตรงเป็นตัวบ่งชี้เพื่อกำหนดการกระทำผลก็ย่อมเกิดขึ้น
ดังนั้น
ฉันทะทำให้เกิดการกระทำและทำให้เกิดความต้องการที่จะทำหรือทำให้อยากทำ
เด็กก็อ่านหนังสือได้เองโดยที่พ่อไม่ต้องล่อด้วยการพาไปดูหนังการที่มีฉันทะ
เป็นแรงจูงใจในการการะทำก่อให้เกิดผลในทางจริยธรรม
ส่วนตัณหาทำให้ผลทางปฏิบัติแตกต่างกัน คือ เกิดความทุกข์
การกระทำเป็นเพียงเงื่อนไขสำหรับไปได้สิ่งที่ต้องการ หรือไม่ต้องการกระทำ
และผลของการกระทำนั้นโดยตรง หรือถ้าไม่ต้องทำได้
ก็จะหลีกเลี่ยงการกระทำนั้นเสีย
เพราะการได้มาโดยไม่ต้องการนั้นตรงกับความต้องการของตัณหามากที่สุด
และถ้าจำเป็นที่ต้องกระทำโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้นจะกระทำด้วยความรังเกียจจำ
ใจ ไม่เต็มใจ และไม่ตั้งใจ พฤติกรรมที่เกิดจากตัณหาจึงปรากฏ ดังนี้
1. พยายามหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นเงื่อนไข
อาจใช้วิธีลัดหรือวิธีอื่นใดซึ่งง่ายที่จะได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่ต้องกระทำ
เช่น การทุจริต ลักขโมย ไม่มีความอุตสาหะ
2.
มีแต่ตัณหาที่อยากได้
แต่ไม่มีฉันทะที่อยากทำจึงทำงานที่เป็นเงื่อนไขด้วยความไม่เต็มใจ ไม่ตั้งใจ
ทำพอให้เสร็จ หรือทำที่ได้ทำแล้ว ผลก็คือ
ไม่มีความประณีตหรือความดีเลิศของงาน
และเพราะนิสัยที่ไม่ดีให้แก่ผู้ทำเองกลายเป้ผู้ขาดความใฝ่สัมฤทธิ์มักง่าย
จับจด เป็นต้น
3.
เมื่อเงื่อนไขหลักมีช่องโหว่ที่เลี่ยงหลบได้
เป็นเหตุให้ต้องสร้างเงื่อนไขรองต่าง ๆ เข้ามาควบคุมป้องกัน
ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุทำให้เกิดระบบต่าง ๆ ที่ซับซ้อนสับสน เช่น
ต้องหาคนมาตรวจสอบ ควยคุมการทำงาน สำรวจเวลาเข้างาน เป็นต้น
และยิ่งถ้าตัณหาเข้าไปครอบงำพฤติกรรมการปฏิบัติเงื่อนไขรองได้อีก
ความทุจริตหละหลวมปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จนทำให้ระบบทั้งระบบเสียไปหมด
ส่วนบุคคลที่มีฉันทะเป็นแรงจูงใจ
ต้องการภาวะที่เป็นผลของการกระทำซึ่งตรงกับเหตุให้บุคคลมีความอยากกระทำ
ดังนั้น
ผลที่ตามมาจึงตรงกันข้ามกับบุคคลที่มีตัณหาเป็นแรงจูงใจผลของพฤติกรรมที่
เกิดจากมีแรงฉันทะเป็นแรงจูงใจ มีดังนี้
1.
ทำให้เกิดความสุจริต ความขยัน ความอดทน
ความซื่อตรงต่องานและซื่อตรงต่อเหตุผลที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติ
ไม่ทำให้เกิดความทุจริต
2. ทำให้ตั้งใจทำงานนำไปสู่ความประณีต ความดีเลิศของงาน เพราะนิสัยใฝ่สัมฤทธิ์ทำจริงจัง และสู้งาน
3. มีความร่วมมือร่วมใจในการทำงาน
การประสานงานและการมีส่วนร่วมเพราะทุกคนต่างมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน
มิใช่มุ่งสนองตัณหาส่วนตนจนคอยแก่งแย่งชิงกันจ้องจับผิดซึ่งกันและกัน
4. จากการกระทำเพื่อผลของงาน ผลที่ได้รับจึงสอดคล้องกับตัวกำหนด
หรือตัวบ่งชี้ปริมาณและคุณภาพของงาน ดังนั้น
จึงเกิดความพอเหมาะพอดีระหว่างการกระทำกับผลที่พึงประสงค์
5. เนื่องด้วยบุคคลที่กระทำด้วยฉันทะต้องการผลของการกระทำโดยตรง
ทำให้บุคคลนั้นประจักษ์ถึงผลเกิดที่ต่อเนื่องไปกับการกระทำ
การกระทำก่อให้เกิดผลที่เขาต้องการให้เขารับความพึ่งพอใจ ความอิ่มใจ
ความสุขและความสงบตั้งมั่นของจิตใจ
ด้วยเหตุนี้
ฉันทะจึงถูกจัดเข้าเป็นอิทธิบาท (ทางแห่งความสำเร็จ) อย่างหนึ่ง
อิทธิบาทเป็นหลังสำคัญในการสร้างสมาธิ ฉันทะจึงทำให้เกิดสมาธิ
(ภาวะจิตมีอารมณ์เดียว) ที่ส่งเสริมสุขภาพจิตให้จิตมีความสดใส สุขสงบ
ปลอดโปร่ง ฉันทะไม่ก่อให้เกิดทุกข์ ไม่ทำให้เกิดปัญหาในใจ
เพระไม่ว่าการกระทำนั้นสำเร็จผลหรือไม่ก็ตาม จะเป็นไปตามเหตุผล
เหตุเท่าใดผลก็เท่านั้น
สิ่งเร้าที่กำหนดพฤติกรรมรวมทั้งตัณหาและฉันทะ
บางครั้งทั้งตัณหาและฉันทะก็เข้ามาร่วมกำหนดพฤติกรรมด้วยกัน เช่น
กรณีของความหิว ในกรณีนี้ โยนิโสมสิการจะคิดว่า
การกินเป็นการกระทำเพื่อผลอะไร
และรู้ว่าการกินเป็นการกระทำเพื่ให้ร่างกายได้รับอาหารไปซ่อมเสริมร่างกาย
ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีไม่มีโรค ไม่ใช่กินอาหารเพื่อความอร่อย
เพื่อความสนุกสนานมัวเมาหรือโก้เก๋หรูหรา เป็นต้น
โยนิโสมนสิการนี้มิใช่แรงจูงใจโดยตัวมันเอง แต่เป็นปัจจัยให้เกิดแรงจูงใจ
ฝ่ายกุศลหรือฉันทะเป็นฉันทะเกิดโยนิโสมนสิการก็เข้ามาร่วมกำหนดพฤติกรรมการ
กิน โดยเกิดแทรกซ้อนสลับกับตัณหานับว่าเป็นตัวต้านกันปัญหา
ลักษณะของตัณหานั้น เป็นแรงเล้าหรือแรงจูงใจให้กระทำตามเงื่อนไง
บางครั้งเมื่อไม่ได้เสพเวทนาอันพึงพอใจก็จะไม่ยอมเร้า หรือจูงใจให้กระทำ
หรือจูงใจไม่ให้กระทำแม้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นไปเพื่อผลที่พึงประสงค์
เช่น เวลาที่ป่วยไข้ร่างกายต้องการยามารักษา ฉันทะกลับจูงใจให้กินยา
กินอาหาร ยิ่งฉันทะเข้มมากเท่าใด จิตใจก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นฉันทะหนุนวิริยะ
และทำให้เกิดสมาธิ)
คนไข้บางคนมิได้คำนึงถึงเหตุผลเพื่อให้เกิดฉันทะแต่ใช้วิธีเร้าปัญหามาทำให้
เกิดความรู้สึกกลัวตาย และปกป้องตัวเองก็ทำให้กินอาหารและยาได้เหมือนกัน
การกระทำเช่นนี้ ทำให้จิตใจทุรนทุราย
แม้ว่าจะได้ผลเช่นเดียวกับการกระทำด้วยฉันทะ การตัดวงจรการเกิดตัณหา
จำเป็นต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับสิ่งนั้นเสียดังนั้น
การใช้โยนิโสมนสิการจึงทำให้เกิดฉันทะขึ้น
ซึ่งอาจทำหน้าที่ชักนำความคิดให้เดินตามฉันทะที่เคยปลูกฝังมาแล้ว
หรืออาจต้องพิจารณาสิ่งต่าง ๆ
จนโยนิโสมนสิการเกิดก็สามารถตัดตอนการเกิดตัณหาและฉันทะก็เกิด
เมื่อเกิดฉันทะแล้วก็เกิดอุตสาหะหรือความเพียร
ในทางปฏิบัตินั้น ตัณหาและฉันทะสามารถเกิดแทรกซ้อนกันได้เป็นปัจจัยเกิดของกันและกันได้เช่นกัน สรุปได้ว่า
1. เป็นธรรมดาของบุคคลที่มีตัณหาเป็นพื้นฐาน และตัณหาสามารถเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่าเวลาใดที่ปล่อยโอกาสหรือเผลอ
2. ตัณหาเกิดขึ้นย่อมนำความทุกข์ และปัญหามาให้ จึงสมควรละหรือกำจัดเสีย
3. บุคคลไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงตัณหาได้ ดังนั้น
น่าจะทำให้ตัณหาก่อประโยชน์จนก่อให้เกิดฉันทะ แล้วละตัณหาเสีย
ตัณหาสามารถที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เพื่อเป็นอุบายที่นำไปสู่จุดหมาย
เป็นวิธีล่อให้กระทำการที่เป็นเงื่อนไขแล้วใช้โอกาสระหว่างนั้นค่อย ๆ
สร้างความรู้ความเข้าใจให้เกิดความรักความดีงามของผลการกระทำนั้นโดยตรง
จนเกิดฉันทะขึ้นเอง
แล้วก็จะเปลี่ยนแรงจูงใจและพฤติกรรมของตนเองจนเกิดฉันทะที่ถาวร
ถ้าทำได้ถือว่าเป็นความสำเร็จ
แต่ถ้าเปลี่ยนตัณหาเป็นฉันทะไม่ได้ก็ถือว่าเป็นความล้มเหลว
การล่อเร้าด้วยสิ่งอื่นที่มิใช่ผลของการกระทำโดยตรงนั้น
ควรใช้อย่างระมัดระวัง เช่น การให้รางวัล
ซึ่งในทางการศึกษาจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมหรือการเรียนการสอน
หรือใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น
บอกลูกว่าอย่าอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว จะซื้อเครื่องเล่นเกมให้
ที่สำคัญต้องคิดเตรียมไว้ว่าจะชักจูงเด็กเข้าสู่ฉันทะได้อย่างไร
จึงจะทำให้เด็กนั้นเกิดความรัก
หรือรู้สึกอยากอ่านหนังสือได้เองจากการได้เห็นผลดีของการกระทำ
แต่ทางที่ดีผู้ล่อเร้าควรใช้โอกาสนี้ให้เด็กได้ใช้โยนิโสมนสิการในทางที่
เข้าใจคุณค่าของความรู้ เกิดความใฝ่รู้
เกิดมีฉันทะสามารถอ่านหนังสือได้เองโดยไม่ต้องทำตามเงื่อนไขเพื่อรางวัลต่อ
ไป การล่อเร้าด้วยตัณหาเช่นนี้ ต้องพึงระวัง เพราะถ้าฉันทะไม่เกิดขึ้นแล้ว
ยิ่งทำให้ตัณหาเข้มข้นอีกด้วย
เป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีและเท่ากับเอาเชื้อแห่งความทุกข์และปัญหาไปไว้ใน
ชีวิตของเด็ก ในทางพุทธศาสนาแรงจูงใจมี 2 ลักษณะ คือ ตัณหา และฉันทะ
ซึ่งฉันทะเป็นแรงจูงใจฝ่ายดี
หรือฝ่ายกุศลที่ควรสร้างให้เกิดขึ้นในตัวบุคคลทั่วไป
เพราะบุคคลที่มีฉันทะเป็นแรงจูงใจจะต้องมีความต้องการกระทำสิ่งต่าง ๆ
ให้ดีงาม ต้องการภาวะที่ดีงาม ต้องการความจริง กระทำสิ่งต่าง ๆ
ตามเหตุผลมีความพึงพอใจในผลที่เกิดจากการกระทำที่แท้จริง
มิใช่การกระทำตามเงื่อนไขของตัณหา
มุ่งเน้นในการเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดฉันทะทางบวก ซึ่งเป็นแรงจูงใจใฝ่ดี
เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนมีความต้องการใฝ่รู้ ใฝ่เรียนในทางที่ดี
อันก่อประโยชน์หรือพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการเรียนรู้ที่ดี
เพิ่มศักยภาพทางการเรียนต่อไป สำหรับแรงจูงใจฝ่ายลบหรือตัณหานั้น
เป็นฉันทะในทางลบที่ไม่บังเกิดผล
ซึ่งควรจะได้ทราบเพื่อความเข้าใจลึกซึ้งต่อไป
บรรณานุกรม
เอกสิทธิ์
สนามทอง. ว่าที่ร้อยตรี. (2552).
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฉันทะทางการเรียนของนักศึกษาสถาบันอุดม
ศึกษาเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต). (2542ก). พุทธธรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต). (2542ข). วิธีคิดตามหลักพุทธธรรม (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม.
พระกวีวรญาณ (จำนง ทองประเสริฐ). (2502). วิชาศาสนา. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์อาศรมอักษร.
พระโสภณคณาจารย์ (ระแบบ จิตรวโณ). (2527). ธรรมปริทรรศน์. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ศาสนา.
พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต). (2529). พุทธธรรม. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม.
Lahey, B. B. (2001). Psychology, an introduction (7th ed.). Chicago: McGraw-Hill.
Luthans, F. (1992). Organizational behavior (6th ed.). New York: McGraw-Hill.
สืบค้นเมื่อ วันที่ 9 สิงหาคม 2554
ที่มา http://www.idis.ru.ac.th